กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Phuketindex ได้มีโอกาสร่วมทริป “ท้าเที่ยวข้ามภาค เส้นทางตามรอยพระบาท ภูเก็ต เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน” กับ ททท.สำนักงานภูเก็ต และสายการบินไทยสไมล์ งานนี้ตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะข้ามภาคไปถึงเหนือ และเที่ยวสามจังหวัดในทริปเดียว จัดกระเป๋าเสร็จก็รีบออกเดินทางแต่เช้า เนื่องจากได้รับคำแนะนำจากหลายท่านว่า เส้นทางไปสนามบินกำลังมีการก่อสร้างทางลอด บวกกับสนามบินนานาชาติจังหวัดภูเก็ต กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง ให้เผื่อเวลาไว้ด้วยและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ท่านที่ต้องเดินทางในช่วงนี้ เผื่อเวลาในการเดินทางสักหนึ่งชั่วโมงเพื่อความชัวร์

เริ่มออกเดินทางจากภูเก็ต ด้วยสายการบินไทยสไมล์ สายการบินน้องใหม่ในเครือการบินไทย ซึ่งดูแล้วจะเน้นความทันสมัย เดินทางกับแอร์วัยรุ่นในบรรยากาศสบายๆ มีหนังสือให้อ่าน มีอาหารว่างให้ทาน

นั่งเครื่องราวๆ 2 ชั่วโมงเราก็มาถึงสนามบินเชียงใหม่ ต้องยอมรับว่าสนามบินเค้าสะอาดสอ้านและไม่แออัด การขนถ่ายกระเป๋ามีระบบ รับกระเป๋าได้รวดเร็วไม่ต้องรอนาน ได้กระเป๋าแล้วชาวคณะรีบบึ่งไปทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านอาหารหลองข้าวลำ ซึ่งพี่ไกด์บอกว่า “หลองข้าว” ภาษาเหนือคือ “ยุ้งข้าว” เพราะที่นี่สมัยก่อนเป็นยุ้งข้าวนั่นเอง ส่วนคำว่า “ลำ” ก็คือ “หรอย” ที่นี่เค้ามีอาหารเหนือบริการหลายอย่าง ล้วนแต่อร่อยล้ำลำแต้ๆ





อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางสู่บ้านแม่กำปอง เพื่อสัมผัสบรรยากาศโฮมสเตย์แบบพอเพียงกัน ระหว่างทางไกด์ให้แวะร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven กันก่อนเผื่อใครอยากทานขนมขบเคี้ยว หรือซื้อของใช้ส่วนตัว ระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปแม่กำปอง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง บนหนทางคดเคี้ยวอย่าลืมพกยาดม ยาลม ยาหม่องติดตัวกันไว้ด้วย…เราเตือนท่านแล้ว

ถึงที่พักแบบสบายๆ จากที่นั่งรถมาเหนื่อยๆ เปิดประตูลงมา พบกับอากาศสดชื่นเย็นสบาย ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางหายเป็นปลิดทิ้ง ที่นี่อากาศดีจริงๆ รู้สึกหายใจได้เต็มปอด สำหรับห้องพักนั้น ปกติที่นี่จะมีแบบที่อยู่กับชาวบ้านจริงๆ ในบ้าน และแบบห้องพัก ซึ่งในครั้งนี้เนื่องจากคณะเราเป็นกลุ่มใหญ่ ททท. ได้จัดแบบห้องพักให้ โดยแยกเป็นหลังๆ แนวรีสอร์ท หนึ่งหลังพักได้ 2-6 คน

ผ่านไปหนึ่งคืนและเกือบๆ ครึ่งวันช่วงเช้า สังเกตได้ว่าเมื่ออยู่ที่นี่ เราจะได้ยินเสียงน้ำตกตลอดเวลา การได้มาที่นี่เปรียบเสมือนการมาชาร์ทแบต มานั่งดูวิถีชีวิตของชาวบ้าน นั่งดูสายน้ำไหลริมห้องพัก ได้ทานอาหารที่ชาวบ้านทำมาให้ จากวัตถุดิบสดใหม่ ผักที่นี่สดและมีขนาดใหญ่มาก ทุกอย่างที่ทานแม้จะเป็นอาหารธรรมดาไม่ได้ปรุงแต่ง แต่มันอร่อยจริงๆ ดั่งคำพูดที่ว่า “ได้หมดถ้าสดชื่น” ชาวบ้านที่นี่เป็นชาวบ้านจากดอยสะเก็ด มีอาชีพปลูกใบชาหรือที่ชาวบ้านเรียกใบเมี่ยง และกาแฟ ถ้าจะมาเที่ยวแนะนำให้มาในฤดูหนาวเพราะฟินสุดๆ
นอกจากนี้ที่นี่ยังได้รับรางวัล หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านวัฒนธรรม พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ก็ใช้เวลาเตรียมการกันนานพอสมควร (เริ่มเปิดตัวปี 2543) ริเริ่มโดยผู้นำชุมชนที่มีวิสัยทัศน์ พ่อหลวง(ผู้ใหญ่บ้าน)พรหมมินทร์ พวงมาลา ที่ได้ตั้งกลุ่มสหกรณ์ไฟฟ้า วางแผนการทำแนวกันไฟ ปัจจุบันได้มีการจัดตั้งกองทุนโฮมสเตย์ สำหรับการบริหารจัดการในระยะยาวอีกด้วย ที่นี่ชาวบ้านเค้ารวมกลุ่มกันเข้มแข็งจริงๆ




สำหรับท่านที่สนใจจะมาพักที่นี่ ราคาที่พักก็มีตั้งแต่ 520-1600 บาท สามารถติดต่อได้ที่ พ่อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้าน บ้านเลขที่ 78/1 หมู่ที่ 3 บ้านแม่กำปอง ตำบลห้วยแก้ว กิ่งอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ 50130 โทร 053-315111 , 053-315113 มือถือ 085-6754598 สามารถติดต่อได้ทั้งเรื่องที่พักและบริการรถรับส่ง



ออกจากแม่กำปอง แวะช้อปปิ้งและดื่มกาแฟที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก และเปลี่ยนรถจากรถตู้เป็นกระบะสองแถวแทน เพื่อมุ่งสู่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เนื่องจากหนทางสูงชันและคดเคียวยิ่งนัก ได้นั่งกระบะตอนเช้าๆ อากาศดีมากไม่ร้อน นั่งรถรับลมกันสบายๆ ไม่นานนักก็มาถึงเขตแดนลำปาง-เชียงใหม่ ขึ้นไป “กิ่วฝิ่น” จุดชมวิวที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,517 เมตร ไปสัมผัสกับคำว่าขวาลำปางซ้ายเชียงใหม่กัน


ต่อจากนั้นเราก็เดินทางไปยังร้านสวัสดิการอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เพื่อชิมเมนูยำไข่น้ำแร่ ที่ลวกจากน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน “อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน” เป็นอุทยานที่มีขนาดใหญ่มาก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง มีเนื้อที่ประมาณ 480,000 ไร่ มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ มีทั้งน้ำตก แอ่งน้ำอุ่น และบ่อน้ำพุร้อน ที่นี่มีบริการเต๊นท์และพื้นที่กางเต๊นท์ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่จะมาค้างคืนด้วย



ที่หมายต่อไปยังอยู่ที่ลำปางไปไหว้พระกัน ที่สถานปฏิบัติธรรมหลวงพ่อเกษม เขมโก เกจิดังของทางภาคเหนือ ไปวัดนี้หนูเต็มไปหมด ทั้งรูปปั้น รูปวาด และต้นไม้ที่ตัดแต่งเป็นรูปหนู (แต่หนูตัวเป็นๆ ไม่เห็นนะ) เลยถามแม่ค้าแถวนั้นได้ความว่าหลวงพ่อเกิดปีชวด ที่นี่เลยมีหนูเต็มไปหมด


ปิดท้ายวันนี้ด้วยการนั่งรถม้าชมเมือง แต่ก่อนจะไปนั่งรถม้าเวลายังพอมี ดังนั้นวันนี้เราได้แวะชม “สะพานรัษฎาภิเศก” สะพานข้ามแม่น้ำปิงอายุกว่าร้อยปีของลำปาง


ที่สะพานแห่งนี้พอตกเย็น จะเห็นคนมาเดินเล่นกัน ได้บรรยากาศไปอีกแบบ พอค่ำๆ บริเวณใกล้ๆ สะพาน ก็จะมีตลาดคนเดิน “ตลาดกองต้า” ที่จะมีของขายมากมาย ตั้งแต่สินค้าของเก่าของชาวบ้าน ไปจนถึงงานฝีมือของวัยรุ่นเด็กแนว



วันที่สาม วันสุดท้ายของทริปแล้ว วันนี้เรามุ่งหน้าไปสักการะพระธาตุหริภุญชัยที่ลำพูนกัน แต่ระหว่างทางก็ไม่พลาดที่จะแวะชมสถานที่ประวัติศาสตร์ “สะพานขาวทาชมภู” สะพานนี้ตั้งอยู่บริเวณบ้านทาชมภู ระหว่างสถานีขุนตานกับสถานีทาชมภู เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2461 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2463 เป็นสะพานทรงโค้งทาสีขาว มีเรื่องเล่าว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารฝ่ายพันธมิตรต้องการจะทิ้งระเบิด ทำลายเส้นทางเดินรถไฟ หนึ่งในเป้าหมายทั้งหมด มีสะพานขาวรวมอยู่ด้วย ด้วยความหวงแหนในสะพาน เนื่องจากเป็นสะพานที่สร้างด้วย คอนกรีตเสริมเหล็ก รับน้ำหนักได้กว่า 15 ตัน ซึ่งถือว่าทันสมัยมากในสมัยนั้น ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันทาสีสะพานให้เป็นสีดำเพื่อพรางตา จนสะพานแห่งนิ้สามารถรอดพ้นจากระเบิดได้


จากสะพานทาชมภู ใช้เวลาไม่นานนักเราก็มาถึง “วัดพระธาตุหริภุญไชยวรมหาวิหาร” เป็นวัดที่กว้างใหญ่มาก ในบริเวณวัดนอกจากพระบรมธาตุหริภุญชัยแล้ว ยังมีโบราณสถานที่สำคัญภายในวัดมากมาย อาทิ ปทุมวดีเจดีย์ วิหารพระบาทสี่รอย เขาพระสุเมรุจำลอง วิหารพระไสยาสน์ และหอธรรม รวมแล้วกว่า 15 จุด หากมาที่นี่แนะนำให้เผื่อเวลาไว้เพื่อการเดินชมด้วยนะคะ สำหรับเอกสารประกอบการเข้าชมพร้อมแผนที่ รับได้ที่จุดจำหน่ายดอกไม้ธูปเทียนด้านหน้าวัดค่ะ






ท้ายสุดสำหรับทริปนี้เห็นจะไม่พ้นการช้อปปิ้งเนื่องจากเราต้องนั่งเครื่องจากเชียงใหม่กลับภูเก็ต ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ทริปนี้เราจึงซื้อของฝากกันที่ “กาดหลวง” หรือ “ตลาดวโรรส” ตลาดที่นักช้อปจะพลาดไม่ได้เมื่อมาเชียงใหม่ สินค้าภายในตลาดมีทั้งของสด ของแห้ง ผลไม้ เสื้อผ้า และของฝากที่ขาดไม่ได้เมื่อมาเชียงใหม่คงจะเป็น ไส้อั่ว แคปหมู แหนม และถ้าใครพอจะหอบหิ้วได้ก็ไม่ควรพลาดสตรอเบอร์รีสดๆ งานนี้หอบหิ้วกันพะรุงพะรัง ก่อนที่จะเดินทางกลับอย่างปลอดภัยด้วยสายการบินไทยสไมล์
