เปิดมุมมองการศึกษาในแบบฉบับ “เด็กนักเรียนนอก”

ทัศนคติของคนไทยที่มีต่อเรื่อง “การศึกษาต่อต่างประเทศ” ก็คงมองที่ความโก้หรู ซึ่งเกิดจากคนรวยมีเงินล้นเหลือจนสามารถจ่ายเงินมากเท่าไหร่ก็ได้ เพื่อให้ลูกหลานมีดีกรี “นักเรียนนอก” แต่แท้จริงแล้วนั่นอาจจะเป็นลักษณะจำเพาะของคนเพียงบางกลุ่ม

เพราะหลังจากที่ทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยแบบเป็นกันเอง กับสองเยาวชนอนาคตไกล น้องมุก – น้องหยิน เราก็ได้เห็นแนวความคิดบวกมุมมองที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์เกินกว่าจะเก็บไว้ครุ่นคิดเพียงคนเดียว จนเป็นที่มาของบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้

ณัชชยุดา เทพบุตร และณภัทร์ เทพบุตร คือชื่อจริงของ น้องมุก-น้องหยิน บุตรชายและบุตรสาวของ คุณธัชพล เทพบุตร และทันตแพทย์หญิง นงธนัญ เทพบุตร ผู้บริหารสุโข สปา หากดูเพียงแค่นามสกุล ชาวภูเก็ตอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนรวยจะส่งลูกเรียนเมืองนอก แต่หลังจากสนทนาจบ เรากลับรู้สึกว่าความคิดของเด็กสองคนนี้ ไม่ธรรมดา และเงินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เก่งกาจได้ แต่ต้องเกิดจากความมุมานะและตั้งใจจริง เราเชื่อว่าจะเป็นตัวอย่างในการร่ำเรียนและใช้ชีวิตสำหรับน้องๆ ที่อยู่ในวัยค้นหาตัวเองได้เป็นอย่างดี

…ก่อนจะเป็นนักเรียนนอก

น้องมุกและน้องหยิน เรียนในระดับมัธยมที่ BIS หรือโรงเรียนนานาชาติ บริติช ภูเก็ต ซึ่งช่วยสร้างพื้นฐานทางด้านการเรียน และการใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี ตลอดจนได้ซึมซับวัฒนธรรมการเรียนและการใช้ชีวิตในแบบสังคมตะวันตก ที่ต้องใช้วิธีการพึ่งพาตนเอง และพัฒนาขีดความสามารถอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทั้งสองคนก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งเรื่องวิชาการและการทำกิจกรรม เมื่อประตูบานใหญ่ถูกเปิดขึ้น ทั้งสองคนเลือกที่จะก้าวไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ น้องมุก ได้ศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ King’s College London ประเทศอังกฤษ ในสาขา Business Management ส่วนหยิน ได้เรียนต่อในระดับไฮสคูล ที่ UWC South East Asia ประเทศสิงคโปร์

การเรียนต่อต่างประเทศมันดีอย่างไร…

น้องมุกตอบเราว่า “การที่ตัดสินใจไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ไม่ใช่เครื่องประดับที่จะทำให้เราดูดีขึ้นนะคะ แต่แท้จริงแล้วมันก็คือการต่อสู้ หมายถึงออกไปสู่โลกกว้าง ออกไปท้าทายทำสิ่งที่ยากๆ ให้สำเร็จ และสามารถดำเนินชีวิตบนความแตกต่างได้อย่างลงตัว ทั้งเรื่องภาษา วัฒนธรรม อาหารการกิน อากาศ หรือแม้กระทั่งมุมมองวิธีคิด ยกตัวอย่างเช่นการสอนหนังสือ เค้าจะไม้เน้นที่ตัววิชาการความรู้แบบเพียวๆ แต่จะขยันตั้งคำถามให้เราตอบตัวเองให้ได้ว่า เรามีความพร้อมแค่ไหน เราควรจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อพัฒนาตัวเอง ไปจนถึงเราจะสามารถสร้างประโยชน์อะไร เมื่อเรากลับไปที่บ้านเกิดของเรา”

เช่นเดียวกับน้องหยินที่ได้ไปศึกษาต่อ ณ สถาบันที่มากไปด้วยความแตกต่าง เพราะในชั้นเรียนมีความหลากหลายของนักเรียน ถึง 40 เชื้อชาติ และมุ่งเน้นการทำกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิต แบบสูสีกับการเรียนในคลาสเลยทีเดียว ลูกชายคนเล็กของตระกูลเทพบุตร บอกเราว่า “เหตุผลที่เค้าเน้นกิจกรรมควบคู่กับการเรียนเพราะ มันจะช่วยทำให้เราสามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และมีโอกาสหยิบยืมความคิดและได้เห็นทักษะของผู้อื่น เพื่อนำมาทวบทวนตนเอง และเพิ่มขีดความสามารถให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนในโลก เราก็ไม่สามารถตัดขาดจากเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศ หรือทวีปอื่นๆ ได้ เพราะตอนนี้โลกเป็นหนึ่งเดียวกัน ถูกเชื่อมโยงผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย นั่นคือเหตุผลที่ผมยินดีที่จะเรียนรู้จากเพื่อนๆ ร่วมชั้นที่มาจากนานาชาติ เพราะหากเรารู้เขารู้เรา เชื่อมั่นว่าจะได้เปรียบมากกว่าเสียเปรียบครับ”

หากอยากไปเรียนต่างประเทศ ต้องเตรียมตัวอย่างไร…

“ก่อนอื่นต้องลองทำอะไรหลายๆ อย่างก่อนค่ะ เราจะได้รู้ว่าเราชอบอะไร และเราทำอะไรได้ดีที่สุด รวมถึงต้องเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนครอบครัวด้วย เพราะแรงสนับสนุนมาจากครอบครัว หากสิ่งที่เราทำสามารถพัฒนาธุรกิจหรือสิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่ เราได้ทำไว้ หรือเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ จากความรู้ความเชี่ยวชาญของเรา หนูคิดว่าเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบมากค่ะ รวมถึงพัฒนาสังคมโดยรวมตามกำลังของเราค่ะ สำหรับผู้ที่อยากจะเดินทางไปหาประสบการณ์ ขอยืนยันว่าเราต้องเตรียมตัวทั้งสุขภาพกายและจิตใจให้พร้อมที่สุดค่ะ เพราะการไปอยู่ต่างแดน ไม่มีอะไรที่ง่าย ทุกอย่างจะยากหมดค่ะ แต่หากเราผ่านไปได้ เราก็จะก้าวไปอีกระดับได้อย่างแน่นอน ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆ ที่ยังตัดสินใจหรือชั่งใจอยู่นะคะ” น้องมุก กล่าวทิ้งท้าย

เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ มีความกล้า และได้ใช้โอกาสที่ได้เปรียบ นำมาต่อยอดศักยภาพ หากคุณผู้อ่านอาจจะผู้ที่มีโอกาสไม่เท่าเด็กสองคนนี้ แต่หากลองนำแง่คิดที่ดีของพวกเขา มาประยุกต์กับชีวิตของคุณ เราเชื่อว่าทุกอย่างพัฒนาได้อยู่ที่ความคิด+การกระทำ