“โรงเจ”เป็นสถานที่สำคัญแก่ผู้ถือศีลกินผัก เพราะโรงเจเป็นศูนย์รวมและจุดรับอาหารสำหรับผู้ถือศีลมาตั้งแต่สมัยก่อน จนถึงทุกวันนี้วิถีชีวิตการรับอาหารเจจากโรงเจก็ยังดำรงอยู่ แต่มีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรนั้น วันนี้เรามีคำตอบค่ะ
คุณประเสริฐ งานวงศ์พาณิชย์ กรรมการเลขานุการ ศาลเจ้าบางเหนียวได้เล่าให้เราฟังว่า สำหรับการทานผักนั้นในสมัยก่อนศาลเจ้าจะไม่มีกฎ ระเบียบใดๆ จะทานกันแบบง่ายๆ เป็นเมนูธรรมดา จึงทำให้ง่ายต่อการปรุงอาหาร คนส่วนใหญ่จึงมักทำอาหารทานกันเองหรือมารับจากศาลเจ้ากลับไปทานที่บ้าน ส่วนที่โรงเจก็จะมีชาวบ้านมาช่วยกันปรุงอาหาร

แต่สำหรับทุกวันนี้มีเมนูอาหารเจพัฒนามากขึ้นและโรงเจก็ขาดแคลนคนปรุงอาหาร อาจเนื่องจากทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้ศาลเจ้าต้องจ้างแม่ครัวมาประจำโรงเจเพื่อความสะดวกในการปรุงอาหารแจกจ่ายประชาชน
และเนื่องจากปัจจุบันคนนิยมถือศีลกินผักกันมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเทศกาลเจ ทำให้ศาลเจ้าต้องมีการจัดระเบียบต่างๆตามไปด้วย เช่น การจัดระเบียบเรื่องอาหาร เพราะอย่างที่บอกว่าผู้กินผักมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้ศาลเจ้าต่างๆ ต้องมีการลงทะเบียนสำหรับผู้มารับอาหารจากโรงเจ โดยผู้กินผักต้องมีการลงทะเบียนแจ้งจำนวนสมาชิกและจ่ายเงินครอบครัวละไม่ต่ำกว่า 300 บาท สำหรับอาหารวันละ 2 มื้อ 9 วัน สาเหตุเพราะข้าวของและวัตถุดิบในการปรุงอาหารทุกอย่างมีราคาค่อนข้างสูง
ซึ่งเมื่อลงทะเบียนแล้วเจ้าหน้าที่จะติดสลากการลงทะเบียนไว้ที่ปิ่นโตของทุกคน และทุกครั้งที่มารับอาหารเจ้าหน้าที่ก็จะทราบถึงจำนวนสมาชิกและจะตักอาหารให้เพียงพอต่อคนในครอบครัว ซึ่งแต่ละวันโรงเจจะปรุงอาหารประมาณ 3-4 เมนู ต่อมื้อ

สำหรับเวลาการมารับอาหารนั้นอาจจะเริ่มตั้งแต่เวลา 6.30 – 09.30 น. และช่วงบ่ายเริ่มตั้งแต่ 16.30 – 19.30 น. โดยขึ้นอยู่กับโรงเจแต่ละศาลเจ้า
คุณประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับบุคคลทั่วไปนั้นสามารถมารับประทานอาหารเจได้ ซึ่งในทุกๆปี ตามศาลเจ้าต่างๆจะมีบริการฟรีอยู่แล้ว และอาหารจะสด สะอาด ใหม่ทุกวัน อยากให้หันมาทานผักกันเยอะๆ เพราะจะส่งผลให้สุขภาพดี และเป็นมงคลแก่ตนเอง คุณประเสริฐ กล่าว
เรื่อง – วรรณฤดี ดวงเกิด